ศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น Akamonkai Japanese Language School

เรียนต่อญี่ปุ่น

คุณอาทิตยา เกวลี (เจี๊ยบ)

Q1: จุดเริ่มต้นของการเรียนภาษาญี่ปุ่น

หลังจากเรียนจบจากประเทศจีนกลับมาที่ประเทศไทย เข้าทำงานที่บริษัทต่างชาติซึ่งมีผู้ร่วมงานเป็นคนญี่ปุ่นจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกันในการทำงาน บางครั้งที่สื่อสารแล้วไม่เข้าใจกันก็ต้องไปรอล่ามของบริษัทมาแปล ซึ่งล่ามมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการของบริษัท เลยตัดสินใจมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้การทำงานราบรื่น และเร็วขึ้น จึงเริ่มเรียนกับวาเซดะ สาขากรุงเทพฯ โดยตอนนั้นตั้งใจเรียนเป็นภาษาต่างประเทศที่สามต่อจากภาษาอังกฤษและภาษาจีน

ตอนนั้นเลือกเรียนคอร์สวันเสาร์เพราะต้องทำงานไปด้วย ระหว่างที่เรียนสอบ JLPT ปีละ 1 ระดับ เริ่มจาก N5 จนสอบได้ N2 ช่วงสอบ N5-N4 แค่ตั้งใจเรียนก็สอบผ่าน พอเข้าระดับ N3-N2 ต้องเตรียมตัวก่อนสอบและเรียนคอร์สติว พอสอบผ่าน N2 ก็ได้งานฝ่ายจัดซื้อต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์

Q2 : อะไรทำให้ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น และเหตุผลในการเลือกโรงเรียน

เหตุผลหลักคืออยากจะสอบผ่าน JLPT ระดับ N1 จึงถือโอกาสพักจากการทำงานมาเป็น 10 ปี และฟื้นฟูสุขภาพไปด้วย ตอนสมัครในปี 2020 ตั้งใจว่าจะไปเรียนช่วงเมษายน 2021 แต่ช่วงนั้นประเทศญี่ปุ่นประกาศปิดประเทศจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด 19 เลยเสียเวลาไป 1 ปีจึงได้มาเรียนเมษายน 2022 ที่โรงเรียน Akamonkai ในโตเกียว ที่เลือกโรงเรียนนี้เพราะมีคอร์สเพื่อการทำงาน ตั้งอยู่ใจกลางโตเกียวและมีหอพักนักเรียนด้วย

Q3 : สิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เจอเมื่อไปถึงแล้ว แตกต่างกันมั้ย

ส่วนตัวคือไม่เคยไปประเทศญี่ปุ่นมาก่อน คาดหวังว่าจะได้เจอคนญี่ปุ่นเยอะ มีเพื่อนคนญี่ปุ่นและอยู่ในสังคมคนญี่ปุ่นเลย ลืมไปว่าโรงเรียนสอนภาษาจะมีแต่คนต่างชาติมาเรียน เลยได้เพื่อนต่างชาติอย่างคนเกาหลีที่พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งๆ เป็นทั้งเพื่อนและคนช่วยฝึกพูดแทน สำหรับคนญี่ปุ่นในโรงเรียนก็มีแค่เซนเซกับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนซึ่งดูแลดีมากในเรื่องต่างๆ ทำให้ประทับใจมาก

เรื่องที่สองคือสภาพอากาศ ช่วงที่ไปถึงค่อนข้างแปรปรวน หนาวสลับร้อน มีฝนและพายุเข้าเป็นระยะทำให้คนที่สุขภาพไม่แข็งแรงหรือร่างกายปรับไม่ได้ก็จะป่วยง่าย

เรื่องที่สามคือ การปรับตัวกับเรียนการสอนที่โรงเรียน เพราะที่นี่วัดผลเข้มข้น ผลสอบต้องผ่าน 80% มีสอบย่อยเก็บคะแนนตลอดเวลา ทั้งคันจิ ไวยากรณ์ และคำศัพท์ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องสอบซ่อม หากสอบซ่อมไม่ผ่านต้องเรียนซ้ำ ดังนั้นนักเรียนที่ Akamonkai จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา เรียนไปแล้วห้ามลืมเพราะมีสอบย่อยย้อนหลังและการบ้าน เทคนิคในการเรียน สำหรับการเรียนคันจิ ส่วนตัวได้ภาษาจีนอยู่แล้ว จึงเอาความรู้ภาษาจีนมาปรับใช้กับตัวคันจิ ดังนั้นคันจิที่หลาย ๆ คนนั้นยากมาก จึงไม่ยากสำหรับตัวเอง พวกไวยากรณ์ส่วนใหญ่ได้ตั้งแต่เรียนที่วาเซดะแล้ว ส่วนคำศัพท์ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครท่องได้มากได้น้อย นี่เป็นเทคนิคที่ใช้และสนุกไปกับการเรียน ไม่ได้ไปเครียดหรือรู้สึกว่ามันยาก ผสมกับความชอบภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น และคลุกคลีมานาน เรียนจนได้ N2 และทำงานบริษัทญี่ปุ่นมาตลอด ทำให้เรียนได้โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าลำบาก

นอกจากนี้ ส่วนตัวคิดว่าการมาเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น ข้อดีคือ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาษาญี่ปุ่น เมื่อออกนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นขึ้นรถไฟ กินข้าว ซื้อของ ยังไงก็จะได้ยินภาษาญี่ปุ่นตลอดเวลาจากคนอื่นรอบ ๆ ตัว ก็ฟังคร่าวๆ ที่เขาคุยกันว่ารู้เรื่องไหม มีคำศัพท์ไหนที่รู้จักและเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือดูป้ายต่าง ๆ ก็ช่วยเรื่องคำศัพท์และคันจิให้จำได้มากขึ้น 

Q4 : วางเป้าหมายการใช้ภาษาญี่ปุ่นหลังจากกลับมาอย่างไรบ้าง

ก่อนอื่นปีหน้าต้องสอบผ่าน N1 หลังจากนั้นอาจจะกลับประเทศไทย ทำงานในสายล่ามเลขา หรือสายจัดซื้อเหมือนเดิม วันว่างช่วงเสาร์-อาทิตย์อาจจะเป็นติวเตอร์สอนคอร์สเตรียมสอบ JLPT

Q5 : ข้อแนะนำที่อยากฝากถึงน้อง ๆ ที่อยากไปเรียนต่อต้องเตรียมสุขภาพมาให้แข็งแรงหากเลือกเรียนที่ Akamonkai เพราะเรียนเข้มข้น มีการบ้านและสอบตลอดเวลา และเงื่อนไขในการสอบผ่าน 80% เพื่อไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่าย และต้องมีความรักความชอบในภาษาญี่ปุ่น ถ้าใครมาโดยที่ไม่มีจุดหมายและไม่ได้ชอบภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นจริง ๆ ก็อาจจะล้มเลิกได้ง่าย ด้วยวัฒนธรรมและภาษาญี่ปุ่นมีความยากและความซับซ้อน คนที่อยากมาเรียนต่อจึงต้องกระตือรือร้นที่จะเรียนและชอบการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างจากตัวเอง

🎉สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ
Waseda กรุงเทพ 02-670-3456 / 080-269-0678
Waseda ศรีราชา 038-338-999 / 083-338-999
Waseda เชียงใหม่ 053-211-888 / 095-243-4248

Line: https://lin.ee/ijDtsVM @waseda2japan (มี @ ด้วยนะครับ)

#โอกาสมาแล้ว รีบคว้าไว้กันนะครับ