ณัฐณิชา เทศะวิบุล ชื่อเล่นชื่อ ออน ปีนี้ อายุ 27 ปี
Q1: ประวัตินักเรียน
ณัฐณิชา เทศะวิบุล ชื่อเล่นชื่อ ออน ปีนี้ อายุ 27 ปี
โรงเรียนที่เลือกไปคือ Bunka BIL ไปเรียนเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง
ไปเดือนตุลาคม ปี 2019
Q2: การเตรียมความพร้อมเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนไปเรียนและจุดประสงค์ในการไปเรียน
ก่อนไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น มีการเตรียมความพร้อมโดยการเรียนภาษาญี่ปุ่นกับวาเซดะ จนถึง DAY3 จุดประสงค์แรกที่จะไปญี่ปุ่นคือการไปศึกษาต่อปริญญาโท จึงอยากได้โรงเรียนที่ค่อนข้างสอนแบบเข้มข้นหน่อย มีการเรียนการสอนเป็นแบบแผน จริงจัง ทางวาเซดะและรุ่นพี่แนะนำให้มาเรียนที่ Bunka จะเหมาะสมที่สุด เพราะเรียน 09.00 – 15.00 น. ด้วยจุดประสงค์ในการไปเรียนคือปริญญาโท
Q3: ความคาดหวังจากการไปเรียนที่ญี่ปุ่น
ความคาดหวัง ณ ตอนนั้น หลังเรียนจบปริญญาโท ตอนนั้นยังไม่มี Covid-19 จึงมีความคาดหวังว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นสักระยะหนึ่ง ถ้าเรียนภาษาจบ ก็ว่าจะหางานทำ แต่พอมี Covid-19 ก็เลยตัดสินใจกลับประเทศไทย เพราะเป็นช่วงที่ Covid-19 เริ่มระบาด
Q4: เมื่อไปถึงสิ่งที่คาดหวังกับความเป็นจริงเหมือนกันไหม?
นอกจากการเรียนที่กดดันขึ้น พอจะทราบว่าสังคมญี่ปุ่นคือสังคมแบบต่างคนต่างอยู่ แต่พอไปขึ้นมาจริง ๆ ก็ค่อนข้างรู้สึกว่าตัวเองเหงา ยิ่งไม่ได้ออกไปมีสังคมหรือหาเพื่อนก็ยิ่งรู้สึกเหงา ส่วนใหญ่ก็จะมีเพื่อนที่เป็นคนไทย เพราะว่าพอมี Covid-19 ขึ้นมา ช่วงที่เรียนก็จะมีการเรียนออนไลน์เยอะมาก จึงไม่ค่อยได้มีเพื่อนต่างชาติเท่าไร ส่วนเพื่อนที่มีอยู่ก็คือเครือข่ายคนไทย ที่เพื่อนแนะนำกันมา ไปตอนเดือนตุลาคม 2019 ตั้งแต่มี Covid-19 ที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนมีนาคม 2020 ได้เรียนที่โรงเรียนปกติจริง ๆ ก็แค่เทอมเดียว หลังจากนั้นได้เรียนออนไลน์สลับกับไปโรงเรียน ยังดีที่ไม่ได้ Lock down หนักมากจึงยังพอไปไหนได้บ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่า Happy กับการไปเรียน แต่ว่าจะมีช่วงแรก ๆ ที่รู้สึกว่าโรงเรียนเปิดสอนมานาน พอเจอ Covid-19 เข้าจึงทำให้จัดการเรื่อง Technology ไม่ค่อยดีมาก ครูเขาอาจจะไม่ค่อยชินกับการที่ต้องสอนผ่านระบบออนไลน์
Q5: ความรู้สึกระหว่างที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง?
จากการที่เรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะมาก่อน อาจารย์ที่วาเซดะค่อนข้างติดตามการบ้านให้ส่งตลอด สิ่งที่รู้สึกว่าต่างเลย ที่ญี่ปุ่นจะเรียนเหมือนมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่มีหักคะแนนถ้าไม่ส่งการบ้าน แต่ถ้าสุดท้ายแล้วสอบไม่ผ่าน ก็ไม่ให้ขึ้นเล่มใหม่ ต้องซ้ำเล่มเดิมไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีให้สอบซ่อมเหมือนที่วาเซดะ เรียนเล่มหนึ่งจบก็จะมีการสอบกลางเล่ม สอบปิดเล่ม ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องมีการเรียนเล่มนั้นซ้ำ คนที่สอบผ่านก็จะได้ขึ้นไปเรียนเล่มใหม่ จึงมีความกดดันกว่าเรียนที่วาเซดะ
Q6: ประสบการณ์ที่ได้รับจากการอยู่ญี่ปุ่น
ประสบการณ์ที่หาได้เฉพาะที่ญี่ปุ่น ก็คงเป็นประสบการณ์เรื่องแผ่นดินไหวที่รู้สึกว่า หนักมากช่วงก่อนกลับ ที่โรงเรียน Bunka ก็มีการฝึกซ้อมอพยพและมีมาตรการ Tsunami ด้วย และก็ยังมีประสบการณ์ในการทำงานพิเศษ เป็นบริษัท Startup โดยทำด้านเว็บไซต์ภาษาไทย โดยบริษัททำกิจการด้าน Search engine จึงต้องการคนไทยในการทำเว็บภาษาไทย แต่ถ้าเป็นงานประจำยังไม่เคยมีประสบการณ์ เพราะว่าช่วงที่ต้องตัดสินใจว่าจะหางานหรือว่ากลับประเทศไทย ด้วย Covid-19 และเหตุผลหลาย ๆ อย่าง จึงตัดสินใจกลับไทย
Q7: ปัจจุบันประกอบอาชีพอะไร / ทำงานด้านไหน
หลังจากเรียนจบก็กลับมาไทย ปัจจุบันประกอบอาชีพ วาดภาพประกอบ พวก Branding ทำ Graphic ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นทำในบริษัท พอกลับมาแล้ว รับทำเป็นงาน Freelance และทำกับรุ่นน้อง เป็น Co-project กัน แม้งานที่ทำจะไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น แต่รู้สึกดีใจที่ได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น เพราะเราได้ไปเห็นงานดีไซน์ Packaging พวก Advertise ต่าง ๆ ที่ได้เห็นทุกวันก็ Inspire เราด้วย นอกจากภาษาแล้ว ประสบการณ์ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ก็สำคัญต่องานสายนี้ จริง ๆ ตอนแรกที่ตั้งใจจะไปเรียนปริญญาโท ก็มีเผื่อใจไว้ว่าถ้าไม่ได้เรียนปริญญาโท ก็ยังดีที่ได้ไปใช้ชีวิต ไปเห็นงานออกแบบ ไปดูนิทรรศการที่ไทยไม่มี
Q8: ผลลัพธ์จากการไปเรียนที่ญี่ปุ่น
ก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่นยังไม่เคยสอบ JLPT เลย แต่ช่วงก่อนจะกลับมาไทยได้สอบ JLPT ระดับ N2 ผ่าน เพราะช่วงก่อนที่จะเรียน DAY Course ที่วาเซดะก็เรียนคอร์สเสาร์ – อาทิตย์มาก่อน ช่วงที่ยังทำงานประจำอยู่ โดยส่วนตัวแล้วชอบอะไรที่เป็นญี่ปุ่นมากกว่าการเรียน ก็เลยรู้สึกว่า การได้ N2 ก็ถึงเป้าที่เรามองตัวเองไว้แล้ว ถ้าในอนาคตมีความอยากจะเรียน N1 ขึ้นมาก็อาจจะเรียนต่อ
Q9: มีอะไรอยากฝากถึงรุ่นน้อง
สิ่งที่อยากฝากถึงรุ่นน้องก็คือ การเรียนภาษาญี่ปุ่น การได้ N1, N2 อาจจะไม่ได้สำคัญที่สุด หรือคนที่ได้ N2 ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งกว่าคนที่ไม่ได้ มันมีหลายปัจจัย ถ้าเรา Happy กับการใช้ภาษาญี่ปุ่น สื่อสารแล้วรู้เรื่อง สำหรับคนทั่วไป ไม่ใช่แค่คนที่จะไปเรียนที่ญี่ปุ่น เพราะว่าบางคนโฟกัสกับ JLPT มาก ๆ จนละเลยการเรียนศัพท์ในชีวิตประจำวันไป ถ้าเรา Happy ที่จะอ่านภาษาญี่ปุ่นใน Twitter หรือ Social Media และเราสื่อสารรู้เรื่อง หากเราพอใจแค่นั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องผิด ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำงานที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นโดยตรง การที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ เป็นการเปิดโอกาสเข้าถึงข้อมูล แรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพิ่ม ยิ่งประเทศญี่ปุ่น เป็นแหล่งความรู้ด้านการออกแบบ การจะกลับมาทำงานโดยไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงาน ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย
🎉สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ
Waseda กรุงเทพ 02-670-3456 / 080-269-0678
Waseda ศรีราชา 038-338-999 / 083-338-999
Waseda เชียงใหม่ 053-211-888 / 095-243-4248
Line: https://lin.ee/ijDtsVM @waseda2japan (มี @ ด้วยนะครับ)
#โอกาสมาแล้ว รีบคว้าไว้กันนะครับ